ภาวะฝนตกแม้จะเป็นตัวแปรที่ทำให้ผลิตผลเสียหายอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งนโยบายรัฐที่จะลดพื้นที่ปลูกยาสูบและหาพืชอื่นปลูกทดแทนจะเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงของชาวไร่ ทว่า “บุญเลิศ รัตนแย้ม” เกษตรกรแห่งหมู่ 1 ต.ทับผึ้ง อ.ศรีสำโรง จ.สุโขทัย ก็ไม่ได้ท้อถอย กลับยืนหยัดจะยึดอาชีพนี้ต่อไป
“บุญเลิศ” ในวัย 40 ปีเศษ เล่าว่า ยึดประกอบอาชีพทำไร่ยาสูบสายพันธุ์เบอร์เล่ย์มาเกือบ 30 ปี ในพื้นที่ 8 ไร่ สลับกับการทำนาข้าวมาตลอด แต่พืชยาสูบถือเป็นอาชีพหลักที่ทำรายได้เลี้ยงสมาชิกครอบครัว ส่งเสียบุตร 1 คนจนปัจจุบันมีงานทำเรียบร้อย ซึ่งบุญเลิศยอมรับว่าเป็นอาชีพที่ทำรายได้ดีในแต่ละฤดูกาล โดยสามารถสร้างเม็ดเงินได้เกือบ 2 แสนบาท
“ที่ผ่านมาปัญหามีเรื่องเดียวคือฝนตกหนักในพื้นที่ เป็นปัญหาใหญ่ของชาวสวนยาเพราะหากฝนตกก็จะทำให้ยาเน่าตาย บางปีตายยกแปลงนั่นหมายถึงปีนั้นก็ขาดทุนยับไปด้วย” บุญเลิศแจงพร้อมย้ำว่า ภาวะดังกล่าวแม้จะท้อบ้างในบางครั้งแต่ก็ไม่คิดที่จะเลิกทำอาชีพนี้ เพราะเมื่อประสบปัญหาคราใดก็จะปลูกพืชผักสวนครัวทดแทน เช่น พริก มะระ ข้าวโพด
เมื่อช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากนโยบายรัฐที่พยายามลดพื้นที่ปลูกยาสูบ และหาพืชอื่นปลูกทดแทน บุญเลิศบอกว่าก็ยังยืนหยัดที่จะเป็นชาวไร่ยาสูบต่อไป แม้รอบการปลูกในหนึ่งฤดูกาล (3-4 เดือน) เริ่มปลูกพฤศจิกายนถึงเก็บผลผลิตจะยุ่งยาก ทว่าในส่วนของรายได้ก็นับว่าคุ้มดีกว่าปลูกพืชชนิดอื่น
“ปีนี้โรงงานยาสูบประกันราคายาแห้งอยู่ที่ 67 บาท อย่างที่ผ่านมาเกษตรกรจะทำได้ไร่ละ 3 พันต้น ก็จะได้ยาแห้งในเกณฑ์ 400-500 กก.ต่อไร่ ซึ่งต้นทุนส่วนใหญ่จะอยู่ที่ปุ๋ยเคมี ลูกละ 1,400-1,500 บาท ไร่หนึ่งใช้ปุ๋ย 3-4 ลูก แต่เมื่อหักลบกลบหนี้แล้วจะมีรายได้เกือบไร่ละ 2 หมื่นบาท”
เป็นอีกหนึ่งเสียงของชาวไร่ที่มองว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับ “พืชยาสูบ” ทว่าในฐานะเกษตรกรก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพราะยาสูบคือสิ่งที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตครอบครัวเขามาเกือบ 3 ทศวรรษ
 

แหล่งข่าวจาก : คมชัดลึก วันที่ 19 มีนาคม 2557